วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จากประสบการณ์ คนขายตรง mlm

ธุรกิจเครือข่าย

คลิ๊ก!!เพื่อไปยังบล็อกรวมสิ่งดีดีที่มีให้จาก : พละชัย ฟูเกียรติพงษ์


“หิน” คือ “หิน” อย่างไร ก็เป็น “หิน”
หวังปั้น “ดิน” ให้เป็น “ดาว” นั้นอย่าหมาย
จักเปลี่ยน “พลอย” ให้เป็น “เพชร” ได้เช่นไร
เขาเป็นได้ เท่าที่เป็น เช่นนั้นเอง



        เป็นระบบที่ลงทุนต่ำที่สุด มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ไม่ต้องลงทุนด้านสินทรัพย์หรือเครื่องจักรใดๆ ไม่ต้องมีลูกจ้าง อีกทั้งยังมีแผนการตลาดที่จ่ายผลตอบแทนมากที่สุดจากระบบการจ่ายผลตอบแทนแบบมหาศาลไม่มีเพดานคุณสามารถมีรายได้มากเท่าที่คุณต้องการ
หลายคนที่ทำธุรกิจนี้เริ่มต้นทำธุรกิจแบบการแบ่งเวลาว่างๆ มาทำ แต่ปัจจุบันหลายคนได้ลาออกจากงานเก่ามาลุยทำธุรกิจเครือข่ายแบบเต็มเวลา และมีหลายคนที่มีกิจการอยู่แล้ว ก็เริ่มมาทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพราะเขามองเห็นโอกาส มองเห็นอนาคตของตนเองและทายาท มองเห็นวิธีการสร้างรายได้อย่างมหาศาลแบบง่าย ๆ เป็นธุรกิจที่มั่นคง
การทำธุรกิจเครือข่ายนี้ ไม่ต้องมีหน้าร้าน มีอิสรภาพทางด้านเวลาและการพักผ่อน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง อาจมีเพียงเอกสารหรือสินค้าไว้พร้อมขายหรือให้บริการเท่านั้น จะมีผู้ทำธุรกิจนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และไม่ใช่ว่าผู้ที่เริ่มก่อนจะได้เปรียบ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการทำธุรกิจมากกว่าว่าทำธุรกิจแบบใด ผู้เข้าร่วมธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือ ผู้ที่ทำธุรกิจพร้อมที่จะเรียนรู้ระบบการทำงานทั้งหมด เรียนรู้แผนการทำงาน เรียนรู้ผลประโยชน์ที่จะได้รับในปัจจุบันและอนาคตของธุรกิจ โดยนำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติและบอกต่อ โดยใช้ระบบสนับสนุนที่มีทั้งหมดช่วยในการทำธุรกิจ
ธุรกิจนี้ต้องการความจริงจังและสม่ำเสมอในการลงมือทำธุรกิจ มีอัตราการจ่ายผลตอบแทนสูง ทำได้จริงจ่ายจริง เพราะมีกฎหมายและหน่วยงานของรัฐคอยควบคุม ระบบการทำธุรกิจในอนาคตนี้ทุกคนที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่ต่างไม่เคยทำมาก่อน เพียงแค่ศึกษาการทำงานอย่างจริงจัง พร้อมที่จะเรียนรู้และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำตามระบบ เลียนแบบการทำงานของที่ปรึกษาธุรกิจ เขาทำอย่างไรเราทำอย่างนั้น ทำตามระบบทีละขั้นตอนอย่างง่ายๆ


เริ่มก่อตั้งธุรกิจ

           เมื่อคุณสมัครเป็นสมาชิกธุรกิจ  เปรียบเสมือนคุณได้เริ่มก่อตั้งธุรกิจของคุณเอง สิ่งแรกที่คุณต้องทำ คือ เรียนรู้แผนการตลาด  ลักษณะธุรกิจ การขยายธุรกิจ และความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง  โดยคุณจะมีพี่เลี้ยงจากผู้แนะนำธุรกิจคอยช่วยเหลือ แนะนำ และช่วยคุณทำงานอย่างเป็นระบบ เมื่อคุณมีความรู้แนวทางการสร้างธุรกิจแล้ว   และต้องการสร้างรายได้ในทันที คุณต้องขยายธุรกิจ หรือขยายองค์กร การขยายธุรกิจ หรือการขยายองค์กรก็คือการเปิดโอกาส  ชวน  แนะนำโอกาสทางธุรกิจให้กับบุคคลอื่น  คนที่คุณรู้จัก  ไม่รู้จัก  ซึ่งมีวิธีต่างๆ มากมาย เพราะหัวใจสำคัญของธุรกิจคุณคือ  การขยายโอกาส  การให้โอกาสแก่บุคคลอื่น   เพราะการขยายองค์กรคือหัวใจสำคัญ   เช่นเดียวกันในการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค
สรุป

1. ธุรกิจเครือข่ายเป็น ธุรกิจที่ชนะชนะ (Win - Win Business)
เมื่อทีมงานของท่านประสพความสำเร็จท่านก็ประสพความสำเร็จด้วย
2. คือ ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง (No - Risk Business)
    ด้วยขนาดเงินลงทุนต่ำ แต่ใช้สัมพันธภาพสูง ท่านไม่ต้องลงทุนสร้างทรัพย์สินอาคาร
, อุปกรณ์, ที่ดิน (บนกองหนี้สินหรือเงินกู้) แต่ท่านกำลัง สร้างทรัพย์สิน คือเครือข่ายประชากร (People Assets) ที่ผูกโยง กันด้วยสัมพันธภาพ และผลตอบแทนนี้ได้มาจากผลรวม ของทั้งเครือข่ายหรือเรียกผลตอบแทนนี้ว่า Passive Income (รายได้ที่ไม่ต้องลงแรงด้วยตนเอง แม้ว่าคุณจะหยุดทำงาน แต่รายได้ ของคุณไม่หยุด เงินจะไหลเข้าสู่กระเป๋าคุณตลอดเวลา)
3. เป็นธุรกิจที่ท่านสามารถเลือกเวลาทำงานตามใจปรารถนา
    ไม่ต้องตอกบัตรเข้างานตอนเช้า ไม่ต้องตอกบัตรออกงานตอนเย็นไม่ต้องยื่นใบลากิจ,
ลาพักร้อนกับใครนอกจากขออนุญาตตัวเอง เป็นเจ้านายตนเองในเวลาของตนเอง นี่คืออิสรภาพทางเวลา(Time Freedom)
4. เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในทิศทางใหม่ของโลก
        นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหลายคนมีความเห็นตรงกันว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค
“ ธุรกิจเครือข่าย” ไบรอัน เทรซี่กล่าวว่าธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจแห่งอนาคตของคนรุ่นใหม่ในศตวรรษหน้า
5. เป็นระบบที่เสริมสร้างโอกาส
         เพราะผู้เข้าร่วมทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีความรู้สูง ไม่ต้องมีประสบการณ์  แม้กระทั่งคนพิการยังประสพความสำเร็จในธุรกิจนี้มาแล้วมากมาย
 6. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่มีผลกำไรงอกเงย ตลอด 24 ชั่วโมง/วัน ตลอด 365 วัน/ปี แม้ขณะที่ท่านกำลังหยุดพักผ่อน, หรือพักร้อน เพราะเวลาทำงานภายในเครือข่ายของท่าน ยังสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แม้ขณะที่ท่านนอนหลับ
7. เป็นระบบธุรกิจเดียวที่มีผลงานแห่ง ความพากเพียร
          ความพากเพียรของท่าน วันละ 2 ชั่วโมง สามารถทวีคูณไปเป็น วันละ 2,000 ชั่วโมง หรือ 20,000 ชั่วโมง ตามความใหญ่โตของ เครือข่ายของท่านและเมื่อท่านสามารถสร้างสินทรัพย์ (People Assets) เครือข่ายอย่างมีคุณภาพ 



กฎแห่งความสำเร็จ

1.ตัดสินใจสำเร็จ          2.ทำในสิ่งที่ตัดสินใจ         3.ยืนหยัดทำในสิ่งที่ตัดสินใจ
ทัศนคติก่อนเริ่มต้นธุรกิจนั้นท่านควรปรับทัศนคติเสียก่อน ทัศนคติมี 2 ลักษณะ คือ
1.ทัศนคติบวก      มองหาสิ่งที่เป็นไปได้      ก้าวไปข้างหน้า
2.ทัศนคติลบ       มองเฉพาะสิ่งที่เป็นอยู่      อยู่กับที่
หลักการคิดบวก 
  คิดบวกต่ออาชีพ
  คิดบวกต่อตนเอง (ขยะเข้า = ขยะออก)
  คิดบวกต่อผู้อื่น (ไม่มีใครในโลกที่สมบูรณ์แบบ)
  คิดบวกต่อการลงทุน
  คิดบวกต่อความล้มเหลว (ความล้มเหลว คืออุบัติเหตุของความสำเร็จ)
นิยามของความเชื่อ “อะไรก็ตามที่สมองมนุษย์ คิดและเชื่อ มันย่อมบรรลุได้”    นโปเลียน ฮิลล์
  ความเชื่อ คือพลังชีวิต
  ความเชื่อ คือพลังสร้าง และพลังทำลาย
  ความเชื่อ สร้างพลังที่จะลงมือทำ
  ความเชื่อ เป็นดัชนีบ่งชี้ ความเป็นไปได้
  ความเชื่อ ในสิ่งที่มองไม่เห็น เรียกว่าศรัทธา
สร้างพันธะสัญญากับตนเอง
ผม/ฉันจะทำธุรกิจนี้ให้ มากพอ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ
ผม/ฉันจะทำธุรกิจนี้ให้ นานพอ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ
กฎความมุ่งมัน 3 ประการ
คุณจะขึ้นได้สูงเท่าไหร่นั่นเป็นผลมาจาก คุณต้องการสูงขนาดไหน
1.คุณจะต้องมุ่งมั่น, ทุ่มเทลงไปว่า จะเป็นผู้ที่เก่ง
2.การที่จะบรรลุเป้าหมายอย่างสูงได้นั้น คุณจะต้องกำหนดมันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก
3.คุณไม่สามารถบินไปกับอินทรีได้ หากคุณยังคุ้ยเขี่ยอยู่กับอีแร้ง
***อย่าเข้าเป็นพวกกับ “NATO” No Action Talk Only***
ความฝัน  ความใฝ่ฝันไม่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นศักยภาพของคุณจึงไร้ขีดจำกัดเช่นกัน
***นโปเลียนโปนาปาร์ท กล่าวว่า “จินตนาการ ปกครองโลก”
***อัลเบิร์ตไอไตน์ กล่าวว่า “จินตนาการ สำคัญเหนือข้อเท็จจริง”
หากคุณต้องการความสำเร็จ คุณต้องมีความฝันที่ใหญ่พอ เพื่อจะเป็นเชื้อเพลงในการขับเคลื่อนเป้าหมายของคุณ เหมือนคุณมีรถแต่ไม่มีเชื้อเพลงคุณก็ไม่สามารถจะขับไปไหนได้หรือหากมีน้อย เกินไปก็ไปไม่ถึงจุดหมายนั่นเอง
ระวัง อย่าอยู่ใกล้คนไร้ฝัน
 เป้าหมาย คุณต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อคุณมีสิ่งที่ต้องการและมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะครอบครอง และระบุถึงรายละเอียดให้มากจนสามารถมองเห็นภาพได้
 การวางแผน เมื่อคุณมีความฝันและเป้าหมายที่เด่นชัดแล้ว คุณต้องวางแผนเพื่อทำเป้าหมายให้บรรลุด้วย เช่นการกำหนดตารางการทำงาน
 ความเชื่อ คุณต้องมีพลังแห่งความเชื่อมั่น เพราะในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้จงอย่าหาเหตุผลที่จะลบล้างความ เชื่อของคุณที่จะประสพความสำเร็จ ดังนั้นแผนการ ความฝันและเป้าหมายของคุณย่อมทำได้แน่นอน กระบวนการนี้ยังต้องการพลังแห่งการคิดบวกและพลังใจที่ปิดแน่นต่ออิทธิพลทาง ลบด้วย
“ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งที่สุด ฉลาดที่สุด และรวดเร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะเสมอไป
เพราะสุดท้ายแล้วนั้น ผู้ที่ประสพความสำเร็จ คือ ผู้ที่เชื่อมั่นว่า "ฉันทำได้” นโปเลียนฮิลล์
“ความเชื่อเป็นตัวเร่งการให้เกิดการลงมือทำ ความเชื่อนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”





ข้อคิดชีวิตเพื่อคนทำงาน

       
         อย่าทำงานเกินเวลาจนติดเป็นนิสัยเมื่อมันกลายเป็นนิสัยจะทำให้มันหมดคุณค่า ปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าถึงกับให้ดูโทรมนัก 
 จงทำตัวให้ร่าเริง คอยช่วยเหลือ และทำหน้าที่ให้ดีในการทำงานของคุณ คุณจะพบว่าไม่มีใครมาแข่งขันกับคุณ 
 อย่าได้ไว้เนื้อเชื่อใจว่าความสามารถ ความมีเสน่ห์ และจินตนาการจะนำพาคุณขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ คุณควรจะมีผมสีเทาและพุงป่องกลางอีกหน่อยด้วย 
 อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ในสำนักงาน แต่เป็นกังวลกับการปล่อยชีวิตคุณเปล่าประโยชน์จะดีกว่า 
 อย่าโทษคอมพิวเตอร์สำหรับความผิดพลาดที่คุณทำขึ้นเอง 
 ลองคิดถึงเวลาที่คุณไม่มีเงินเดือนดูบ้าง
 จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก 
 อย่าได้ก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่เคยสังเกตเห็นนก ต้นไม้ ดอกไม้และปุยเมฆ 
 ในเวลาอาหารกลางวัน จงเลือกรับประทานอย่างฉลาด แต่ในบางครั้งจงรับประทานให้เต็มที่ 
 เมื่อใดที่สำนักงานทำให้คุณรู้สึกเศร้าสร้อย จงนึกเสียว่านี่เป็นเกมกีฬาสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ และอย่าได้นำมันกลับบ้านไปด้วย 
 จำไว้ว่ายังมีอะไรๆอีกมากในการทำงานและในชีวิต มากกว่าการทำงานให้มีชีวิตอยู่ หรือมีชีวิตอยู่เพื่อจะทำงาน
 อย่าทำเป็นคนตรงต่อเวลาไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่า 
 อย่าได้หลอกตัวเองว่าการมีสิ่งของรกอยู่บนโต๊ะหมายถึงการมีงานมาก เพียงแต่หมายความว่าคุณยังไม่ได้ทำมันนั่นเอง 
 จัดเก็บโต๊ะของคุณให้เรียบร้อย บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจะมีโต๊ะทำงานที่ว่างโล่ง 
 อย่าเป็นกังวลมากจนเกินไปว่าเพื่อนร่วมงานคิดอย่างไรกับคุณเพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเขา ไม่ได้คิดถึงคุณเลย 
 จงร่ำรวยเงินสด
จงหาเวลาแทนที่จะรอให้มีเวลา
จงยิ้มไว้เสมอ

ขอบคุณข้อมูลภาพ มีหลายท่านสนใจ :http://letsbehappy.exteen.com/20090924/vs


สาเหตุ 50 ประการ ทำให้เครือข่าย ล้มเหลว



         ไม่มีใครเกิดมาแล้วทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เลยต้องอาศัยการเรียนรู้ ความเข้าใจ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง “สงครามใด ไม่มีการหลั่งเลือด ย่อมมิใช่สงคราม” แต่ผู้ที่จะพิชิตชัยในสนามรบได้ นอกจากจะแกร่งกล้าและเปี่ยมไปด้วยศักยภาพในทุกๆด้านแล้ว ยังจะต้องมีอาวุธประจำกายที่รู้ใจดุจดังเงา และในตอนนี้ คุณได้มีอาวุธคู่กายอยู่ในกำมือแล้ว หากคุณถามและตอบตัวเองแล้วว่า ต้องการพิชิตชัยชนะในศึกครั้งนี้ ถึงเวลาที่คุณต้องลงมือฝึกฝน โดยการอ่านคู่มือพร้อมทำแบบฝึกหัดที่มีในแต่ละชุดอย่างสม่ำเสมอ การเรียนรู้ในระบบนั้นมิใช่แต่ให้ท่านเพียงอ่านตามตำราเท่านั้น เพราะเราใช้หลักสูตรการเรียนแบบ เรียนรู้ พร้อมกับลงมือทำ และทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องจนเชี่ยวชาญ

1. ไม่มีการเขียนเป้าหมาย (แรงกระตุ้นการทำงานของตัวเอง)
2. มุ่งแต่รอเวลาเพื่อสปอนเซอร์ผู้ที่มีรายได้สูง แทนที่จะเรียนรู้เป็นผู้มีรายได้สูงเสียเอง
3. ไม่ผูกพันอุทิศตัว ไม่ทุ่มเทในการทำงาน
4. ไม่มีการจัดระเบียบห้องทำงาน จนรกเกะกะ ทำให้เสียเวลามากเกินไปในการค้นหา
5. ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลเอกสารที่เป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
6. สนใจแต่ผลกำไรส่วนตัว ไม่ได้ห่วงใยในความต้องการของลูกค้าและทีมงานคนอื่น
7. ไม่มีเครื่องมือในการดำเนินธุรกิจเพื่อนำเสนอ และให้ข้อมูลลูกค้า, สมาชิก
8. ไม่มีการโทรศัพท์กลับอย่างทันทีทันใด เมื่อพลาดการติดต่อ
9. ไม่มีการชี้แนะวิธีการทำงานให้ทีมงาน หรือมีแต่ไม่น่าสนใจ
10. ล้มเหลวในการรักษาสัญญา การนัดหมาย โดยไม่มีคำอธิบายที่ดีพอ
11. ไม่มีการติดตามผลผู้มุ่งหวังและลูกค้าไม่ได้แสดงความห่วงใยที่เรามีให้เขาเห็น
12. ยอมแพ้ หรือล้มเลิกเร็วเกินไป โดยปกติคนเรามักจะเลิกภายใน 90วันแรก แทนที่จะเป็น1ปี
13. ท้อใจ ด้วยปัญหาและความไม่สะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ กำลังใจค่อยหมดลง
14. พูดถึงบริษัทอื่นในทางที่ไม่ดี อยู่ตลอด จนไม่มีใครอยากเข้าใกล้เพราะกลัวเสียหาย
15. ไม่รู้จริงเรื่องการตลาดเครือข่าย และไม่เอาจริงกับมัน
16. การไม่เคารพนับถือในตัวเอง ชีวิตรอบตัวมีแต่เรื่องยุ่งเหยิง สกปรก ไม่ดูแลตัวเอง
17. ขี้เกียจทำงาน รอเก็บเกี่ยวผลงานจากความพยายามของลูกทีม อย่างเดียว
18. ไม่เป็นมืออาชีพ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และแผนการตลาด
19. ไม่ได้สร้างฐานลูกค้าไว้ ทั้งที่สินค้าของบริษัทสามารถนำมาขายปลีกได้
20. ไม่สามารถนำเสนอประโยชน์ ผลดีของการใช้สินค้าได้อย่างชัดเจน เหมาะสมกับผู้ฟัง
21. ไม่มีการจัดการแก้ไข สิ่งที่ลูกค้า หรือลูกทีมบ่นต่อว่ามา
22. ไม่มีการยกย่องความสำเร็จของลูกทีม เป็นประเภทใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง
23. ไม่มีการดำเนินงานทางธุรกิจทุกวัน
24. ไม่พอใจต่อผลรายได้ของผู้บริหารทีมงานตนเอง จึงทำงานเพื่อกันไม่ให้ได้
25. ชอบบ่นต่อว่าบริษัท สินค้า แผนการตลาด ผู้บริหารทีมงาน ไม่ช่วย
26. มีความคาดหวังที่ไม่สมจริงสมจัง ต้องการรายได้ที่ดีจากการลงแรงเพียงเล็กน้อย
27. เอาตัวเองไปอยู่ใกล้ ๆ คนที่พูดแง่ลบเป็นประจำ แทนที่จะอยู่ใกล้ๆ คนที่มีรายได้สูง และทัศนคติบวก
28. มีความอดทนน้อยเกินไปในเวลาสั้นๆ โดยไม่ได้ ให้ความพยายามอย่างมากเพียงพอ
29. ไม่ได้ส่งผ่าน ข้อมูลด้านเวลา การจัดกิจกรรมสู่ลูกทีม อย่างทันทีทันใด
30. บ่นมากเกินไป และทำตัวเหมือนลูกแหง่
31. เปลี่ยนบริษัทบ่อยๆ ในการทำธุรกิจเครือข่าย โดยไม่ได้สำเร็จแม้สักขั้นตอนหนึ่ง
32. เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับ มันนี่เกม, ธุรกิจลูกโซ่ และธุรกิจอื่น ๆ ในทำนองนี้
33. ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมภายนอก แทนที่จะเป็นแรงกระตุ้นจากภายในของตนเอง
34. ไม่ยอมที่จะลงทุนใด ๆ เช่น การลงประชาสัมพันธ์, แผ่นพับ, ใบปลิว เป็นต้น
35. เป็นพวกขอปฏิเสธไว้ก่อน ชอบพูดว่า “ไม่ ../ แต่ยังไม่ทำตอนนี้”
36. ไม่รู้จักใช้โอกาสจากบริษัท ให้เป็นประโยชน์ ไม่มีความยืดหยุ่นทางความคิด
37. ไม่ได้เชื่อถือสินค้า หรือไม่เป็นผลิตผลของผลิตภัณฑ์ ใช้เพียงเพื่อให้ได้เงินเท่านั้น
38. จิตใจอ่อนไหวได้รับอิทธิพล หรือถูกชักจูง ได้ง่าย ไม่สามารถคิดได้ด้วยตัวเอง
 39. ใช้เวลามากเกินไป ในการพิจารณาจัดองค์กร แทนที่จะใช้ในการนัดพบผู้มุ่งหวัง และลูกค้า
40. คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากบริษัทหรือทีมงานใหม่ ในเวลาสั้นๆ
41. ไม่ได้มีการวางแผนเพื่อความสำเร็จ
42. ไม่พัฒนาตนเองให้เป็นมืออาชีพในการทำงาน
43. มีคำแก้ตัวอยู่เสมอ
44. คิดว่ารู้แล้วทุกเรื่อง จึงไม่ยอมรับการเรียนรู้ ใหม่ ๆ
45. ไม่อ่านหนังสือ หรือติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
46. สุขภาพไม่แข็งแรง หรือคิดไปเองว่าไม่แข็งแรง
47. ไม่ได้พยายามอย่างหนักเพื่อจะทำให้ดียอดเยี่ยมที่สุด
48. เชื่อข่าวลือ โดยไม่ได้ตรวจสอบความจริง ถูกหลอกง่าย
49. สำคัญมาก ไม่ได้เชื่อจริง ๆ ว่า  “มันเกิดขึ้นได้ เมื่อฉันลงมือทำ”
50.ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเอง ถึงมาทำธุรกิจนี้
ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าทำไม ที่เหลือก็เพียงเข้าไปแก้ไขจุดต่างๆค่ะ เพื่อจะก้าวไปสู่นักธุรกิจเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่ต่อไป...


ความรู้ธุรกิจขายตรง

          ตัวอย่างนิยามต่างๆ ตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
ขายตรง
                หมายถึง การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระชั้นเดียวหรือหลายชั้น แต่ไม่รวมถึงนิติกรรมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ผู้บริโภค
หมายถึง ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรง ผู้ประกอบธุรกิจขายตรง หรือผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง หรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรง ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง เพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ
ผู้จำหน่ายอิสระ
หมายถึง บุคคลที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและ นำสินค้าหรือบริการดังกล่าวไปเสนอขายตรงต่อผู้บริโภค
ตัวแทนขายตรง
หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงให้นำสินค้าหรือบริการไปเสนอขายตรงต่อผู้บริโภค
ประวัติธุรกิจขายตรง
--------------------------------------------------------------------------------
      การขายตรงเป็นวิธีการที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ โดยเริ่มจากพ่อค้าเร่ที่ใช้วิธีการเดินเข้าไปหาลูกค้า เพื่อการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น หวี เข็ม ด้าย ต่อมาเมื่อการคมนาคมมีความสะดวกสบายมากขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น บทบาทของพ่อค้าเร่ในสหรัฐอเมริกา (Yankee Peddlers) ก็เพิ่มความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน พ่อค้าบางคน ที่พอมีฐานะก็เริ่มใช้เกวียน หรือม้าในการเดินทางเพื่อไปขายสินค้า และขยายไปสู่การเดินทางโดยทางเรือไปในหลายๆ ประเทศการขายตรงโดยพ่อค้าตรงถึงผู้บริโภคจึงกระจายไปยังทั่วทุกภูมิภาคของโลก เช่น แอฟริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ยุโรป เยอรมัน ฮังการี และจีน
      ในปี พ.ศ.2429 เดวิด แมคคอนแนล เซลล์แมนผู้ขายสินค้าตามบ้านได้ค้นพบความจริงว่าตัวอย่างน้ำหอมที่ให้ลูกค้า ผู้หญิงทดลองใช้เป็นที่นิยมมากกว่าหนังสือที่เขาเสนอขาย จึงได้ก่อตั้งบริษัท แคลิฟอร์เนีย เพอร์ฟูม ขึ้นในรัฐนิวยอร์ก และในเวลาต่อมา บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอวอน โปรดักส์ ในปี พ.ศ. 2482 โดยเขาต้องการยกย่องสรรเสริญนักประพันธ์ วิลเลียม เช็คสเปียร์ ในบทประพันธ์ที่เขาชื่นชอบเรื่อง Stratford upon Avon
      มิสซิส พีเอฟพี แอลบี้ แห่งวินเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ เป็นผู้บุกเบิกระบบการขายตรงของเอวอน ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เธอได้เป็นสมาชิกคนแรกของบริษัท เมื่อแมคคอนแนลจ้างเธอให้ขายน้ำหอม ลิตเติ้ล ดอท เพอร์ฟูม แก่เพื่อนและเพื่อนบ้าน เธอได้รับสมัครผู้หญิงอีกมากมายให้มาทำหน้าที่แบบเดียวกันและได้ขยายอาณาเขต ของธุรกิจออกไปครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด นับว่าได้สร้างกลุ่มนักบริหารธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงถือได้ว่า เอวอนเป็นบริษัทขายตรงรายแรกในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อ ความงาม และเป็นต้นแบบของการขายตรงแบบชั้นเดียว (Single - level Marketing หรือ SLM)
      จนกระทั่งปี พ.ศ.2489 ระบบการสาธิตที่เรียกว่า Home Party ได้เข้ามามีบทบาทในวงการขายตรงเมื่อ บริษัท ทัพเพอร์แวร์ โดย Earl Tupper ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกส่งให้กับบริษัทผลิตเครื่องบินตั้งแต่สมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังจากที่สงครามสงบจึงได้ผลิตกล่องเก็บอาหารพลาสติกซึ่งเป็นการปฏิวัติ การนำพลาสติกมาใช้เพื่อเก็บอาหารแบบสุญญากาศแล้วนำออกวางจำหน่ายบนชั้นวาง สินค้าในห้างสรรพสินค้า แต่ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จเพราะลูกค้าไม่มีความเข้าใจในวิธีการใช้ ทัพเพอร์แวร์ จึงได้เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ใหม่ในปี พ.ศ.2491 โดยการใช้นักขายผู้หญิงและนัดหมายลูกค้าผู้หญิงกลุ่มเป้าหมายมายังบ้านของ บุคคลที่เรียกว่าเป็น “เจ้าภาพ” ของการนัดหมายนี้ เพื่อทำการสาธิตการใช้สินค้าและเป็นการสังสรรค์ในหมู่ผู้หญิงด้วยกัน ปรากฏว่าวิธีการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีและการสาธิตก็เข้ามามี บทบาทมากขึ้น แต่ก็ยังใช้วิธีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่นักขายแบบชั้นเดียว
      ปี พ.ศ.2477 คาร์ล เอฟ เรห์นบอร์ก ผู้ริเริ่มค้นคว้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์และได้เริ่มใช้ระบบการ จ่ายผลตอบแทนแบบใหม่ให้แก่นักขายของนิวทริไลท์ โดยนักขายจะได้ผลตอบแทนจากยอดขายของตนและจากยอดขายของผู้ที่ตนแนะนำมาทำ ธุรกิจด้วย
      ต่อมาในปี พ.ศ.2492 เจย์ แวน แอนเดล และริช เดอโวส หนุ่มน้อยสองคนได้เข้ามาเป็นผู้จำหน่ายผลิต-ภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์และ ประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างมากมาย ดังนั้น ในปี พ.ศ.2502 ทั้งสองคนจึงได้ตัดสินใจก่อตั้ง แอมเวย์ คอร์ปอร์เรชั่น ขึ้น และได้ผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อแอมเวย์ โดยเน้นที่ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนประเภทอุปโภคบริโภคและเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมดาๆ ที่ใครๆ ก็สามารถขายได้ โดยยังคงทำตลาดแบบขายตรงอยู่ และแอมเวย์ก็ได้พัฒนาระบบการตลาดแบบหลายชั้น (Multi - level Marketing หรือ MLM ) อย่างเต็มรูปแบบ ขึ้น จนต่อมาทั้งสองได้ซื้อกิจการนิวทริไลท์เข้ามารวมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ของแอมเวย์
การพัฒนาของระบบ MLM ได้ผ่านช่วงเวลามาหลายยุคหลายสมัยด้วยกัน

Wave 1 ช่วงปี พ.ศ.2488พ.ศ.2522 เข้าสู่ยุคสร้างฐาน
Wave 2 ช่วงปี พ.ศ. 2523 - พ.ศ. 2532 การเติบโตอย่างก้าวกระโดด
Wave 3 ช่วงปี พ.ศ. 2533 - พ.ศ. 2542 เริ่มการกระจายตลาดสู่มวลชน
Wave 4 ช่วงปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ก้าวสูกระแสโลกาภิวัฒน์ โลกทั้งโลกเชื่อมโยงไว้ด้วยกัน
      
ในระยะเวลา 60 ปีของการเติบโตของระบบ MLM นั้น ในช่วง 25 ปีแรกเป็นช่วงที่ไม่มีกฎหมายควบคุมและเป็นช่วงที่มีทั้งคนที่ตั้งใจทำธุรกิจ ด้วยเจตนาที่ดีและไม่ดีเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง จนกระทั่งปี พ.ศ.2533 จึงเริ่มกระจายธุรกิจสู่มวลชน (Mass Marketing)
การใช้อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกวงการมากขึ้นรวมทั้งวงการขายตรง ทำให้ธุรกิจขายตรงสามารถเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง บริษัทผู้ประกอบการ นักขายอิสระ และผู้บริโภคสามารถ ติดต่อสื่อสารและทำธุรกิจกันได้อย่างอิสระบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะนักขายตรงผู้มีส่วนสำคัญมากขึ้นทุกขณะใน การปฏิวัติวิธีการช้อปปิ้งแบบส่งตรงถึงบ้านโดยไม่ต้องไปห้างสรรพสินค้า
      ธุรกิจขายตรงในประเทศไทย เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อวงการตลาดเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว โดยบริษัท ทัพเพอร์แวร์ (ประเทศไทย) จำกัดซึ่งเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เก็บอาหารแบบ สุญญากาศที่ทำจากพลาสติก ได้เป็นผู้ริเริ่มนำวิธีการที่เรียกว่า Home Party เข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในการขาย ซึ่งเป็นรูปแบบการขายตรงที่เปิดโอกาสทั้งด้านการขาย ความสะดวก ในการซื้อ และเป็นการสร้างสังคมเฉพาะสำหรับผู้หญิงไทย ในช่วงนั้นการสาธิตเข้ามามีบทบาทในวงการขายตรงไทยมากทีเดียว ในระยะเวลาต่อมา ธุรกิจขายตรงในประเทศไทยก็ขยายตัวแพร่หลายยิ่งขึ้น มีบริษัทจากต่างประเทศและในประเทศทยอยเปิดตัวและนำเสนอสินค้าใหม่ๆ สู่ผู้บริโภค อาทิ เครื่องสำอาง หนังสือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
      ต่อมาในปี พ.ศ.2521 บริษัท เอวอน คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้น นับเป็นสาขาที่ 22 ของเอวอน โปรดักส์ อิงค์ และเป็นต้นแบบของการขายตรงแบบชั้นเดียว (Single - level Marketing หรือ SLM) อย่างเต็มรูปแบบในเมืองไทยที่ ให้บริการลูกค้าด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อความงามด้วยระบบ ขายตรง โดยจัดทำผ่านผู้จำหน่ายอิสระซึ่งเป็นผู้แทนของบริษัทในการออกไปเยี่ยมเยียน ลูกค้าในเขตของตนเองเพื่อแนะนำและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถึงบ้านโดยตรง
      ระบบขายตรงแบบชั้นเดียวได้รับความนิยมเรื่อยมา และในระยะเวลาเกือบ 10 ปีต่อมา ก็มีบริษัทขายตรงระบบการตลาดหลายชั้นเริ่ม เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จนกระทั่งในปี 2530 บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้ามาในธุรกิจขายตรงในประเทศไทยทำการตลาดด้วยระบบการตลาดแบบหลายชั้น (Multi - level Marketing หรือ MLM) อย่างเต็มรูปแบบ โดยจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งนอกจากมีรายได้ขายปลีกจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าแล้ว ผู้จำหน่ายยังมีรายได้เพิ่มจากเงินอัตราส่วนจากยอดขายรวมของผู้จำหน่ายที่ตน ให้การสปอนเซอร์เข้ามาในองค์กรด้วย รายได้ประเภทนี้จะมากหรือน้อยแปรผันไปกับระดับขั้นของ ความมานะพยายามทั้งในการขายและการสปอนเซอร์ของผู้จำหน่ายนั้นๆ ผู้ที่มีความขยันและทำงานมีผลงานมากจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่สูงเป็นขั้นๆ ไป
      ธุรกิจขายตรงในเมืองไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว มูลค่าการซื้อขายเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี มีบริษัทต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย จึงได้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการและก่อตั้งสมาคมการขายตรงไทย (Thai Direct Selling Association หรือ TDSA) ขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2526 และสมาคมได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลก (World Federation of Direct Selling Associations หรือ WFDSA) ที่มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก สมาคมมีบทบาทสำคัญต่อวงการขายตรงไทยเรื่อยมา ทั้งต่อภาครัฐ ผู้ประกอบการ ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมให้ข้อมูลและสนับสนุนให้เกิดพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
      ธุรกิจขายตรงในเมืองไทยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง เพราะธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา ทุกฐานะ ทุกสังคม ได้เข้ามาอย่างมีความหวัง ไม่ว่าจะเป็นการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การมีอิสระทางการเงินและเวลา โอกาสท่องเที่ยวหาประสบการณ์ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก และได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ และธุรกิจขายตรงยังเป็นโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับผู้คนทั่วไปที่ต้องการเป็น เจ้าของธุรกิจของตนเองด้วยการลงทุนต่ำและมีความเสี่ยงน้อยมาก จึงนับว่าเป็นธุรกิจมวลชนที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้คนมีสปิริตของนักค้า นักขายเติบโตขึ้นได้เท่าที่ปรารถนาและลงแรงทุ่มเทความพยายาม ผลตอบแทนก็จะเกิดขึ้นมากน้อยตามความมานะพยายามและการทุ่มเทเวลาในการทำ ธุรกิจของแต่ละบุคคล
ประโยชน์ของธุรกิจขายตรง
--------------------------------------------------------------------------------
- ผู้ขายได้พบกับผู้บริโภคโดยตรง
- สร้างความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค
- ผู้ขายสามารถให้คำแนะนำ/ให้บริการแก่ผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด
- สร้างโอกาสในทางสังคมและรายได้แก่ผู้ขาย

ขอบคุณ biib : ซื้อขาย ผลิตภัณฑ์ สมัครทำธูรกิจ ตามแต่จะสะดวกติดต่อที่นี่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เคี้ยวหมากฝรั่งไฟฟ์ รับเงินแสน

หมากฝรั่งไฟฟ์..ชวนเคี้ยว รับแสน (เค้าท้าจริง)

         หมากฝรั่งไฟฟ์ 5 รสชาติ เคี้ยวแล้วจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสทั้งห้า เปิดตัวแคมเปญผ่านไมโครไซต์และ Facebook Application สร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขาย  ด้วยไอเดียท้าผู้บริโภคชวนเคี้ยวหมากฝรั่ง ไฟฟ์ผ่านเว็บแคมให้นานที่สุด เพื่อลุ้นรับรางวัลเป็นเงินหลักแสน
งานนี้ท่าทางหมากฝรั่งไฟฟ์จะเอาจริง เพราะมีผู้ร่วมสนุกเข้าร่วมกิจกรรมนั่งเคี้ยวหมากฝรั่งกันแบบจริงๆ จังๆ!   ที่เห็นนานสุดจาก 5 อันดับที่เคี้ยวหมากฝรั่งไฟฟ์ได้นานที่สุด นั้นมีการเคี้ยวกันนานมากกก นานเป็น 2-3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว  เรียกว่าประลองฝีผากกันแบบสุดๆ
หมากฝรั่งไฟฟ์เป็นหมากฝรั่งในกลุ่ม Sensorial ซึ่งเป็นกลุ่มหมากฝรั่งที่เน้นในการเคี้ยวแล้วกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง ห้า โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น เพื่อต้องการสร้างแบรนด์ และสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภค
แคมเปญนี้จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ประสาทสัมผัสทั้งห้าผ่านเทคโนโลยี Image Detection   โดยเริ่มจากการจับกล่องหมากฝรั่งไฟฟ์แทนการ Login เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งถ้าได้จับกล่องหมากฝรั่งไฟฟ์เมื่อไหร่ก็คือการได้เพิ่มยอดขายแล้วนั่น เอง   ในส่วนของเทคโนโลยี Image Detection ที่นำมาใช้กับแคมเเปญนี้ ก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการตอบโจทย์ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือการจับการเคลื่อนไหวของปากในขณะที่มีการเคี้ยว ให้ผู้ร่วมสนุกได้สัมผัสถึงรสชาติอย่างแท้จริง พร้อมเสียงประกอบจากดนตรีเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสจากการฟัง  นับว่าเป็นแคม เปญที่ใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์แบรนด์กันแบบเต็มๆ ทั้งยังได้ทดลองผลิตภัณฑ์ รับรู้ถึงรสชาติ และเพิ่มยอดขายไปพร้อมๆ กัน
ใครอยากได้เงินแสนคงต้องไปท้าประลองกับผู้ร่วมสนุกทั่วประเทศไทย  เคี้ยวได้นานสุด จะ 3 ชั่วโมง 5 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง  ถ้าทำได้..หมากฝรั่งไฟฟ์เค้าแจกแน่นอน 100,000 บาทสำหรับผู้ร่วมสนุกที่เคี้ยวได้นานที่สุด นอกจากนี้ นักเคี้ยวหมากฝรั่งตัวยงจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการทำไวรัลมาร์เก็ตติ้ง เป็นลำดับถัดไป

แคมเปญ หมากฝรั่งไฟฟ์ เคี๊ยวซะ…รับแสน!



5 อันดับของผู้เคี้ยวหมากฝรั่งไฟฟ์ได้นานสุด มีตั้งแต่ 27 นาทีไปจนถึง 3 ชั่วโมงกับอีก 28 นาที!



ขั้นตอนการร่วมสนุก ขอเพียงมีหมากฝรั่งไฟฟ์และเว็บแคม ก็ร่วมสนุกได้ทันที





5 รสชาติของหมากฝรั่งไฟฟ์


หมากฝรั่งไฟฟ์ Facebook Fan Page


ชื่อ Campaign: เคี้ยวซะ … รับแสน กับหมากฝรั่ง ไฟฟ์
แบรนด์สินค้า: Wrigley
สินค้า: หมากฝรั่ง ไฟฟ์
URL: http://www.5gumchewitfeelit.com

รวมสถิติสุดทึ่งของแอปสโตร์




            แอปเปิลประกาศว่าขายอุปกรณ์ไอแพด ไอโฟน ไอพอด ทัชออกสู่ตลาดไปแล้ว 365 ล้านเครื่อง! และไม่เพียงแต่ฮาร์ดแวร์เท่านั้นรายได้อีกมหาศาลมาจากการที่แอปเปิลเป็นค่าย มือถือรายแรก ๆ ที่เปิดตลาดที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายแอปพลิเคชันบนมือถืออย่างเป็นทางการ และประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก จนส่งผลให้ค่ายมือถือใดๆ ก็เดินรอยตามกันเป็นแถวๆ

      วันนี้จึงรวบรวมสถิติสุดน่าทึ่งของแอปสโตร์จากแอปเปิลมาฝากคุณๆ กั
* ปัจจุบันมีแอปฯ ให้โหลดในแอปสโตร์แล้ว 650,000 แอปฯ โดยแยกเป็นแอปฯ เฉพาะไอแพด 225,000 แอปฯ
* ปัจจุบันมีคนโหลดแอปฯ จากแอปสโตร์ไปแล้ว 30,000 ล้านครั้ง
* เนื่องจากในแอปสโตร์จะมีทั้งแอปฯ ที่ฟรีและไม่ฟรี โดยแอปฯ ที่ต้องเสียเงิน ไม่ว่านักพัฒนาจะคิดราคาเท่าไหร่ก็ตาม 30% ของเงินจำนวนนั้นจะถูกหักให้กับแอปเปิลเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการขายของ ผ่านตลาดแห่งนี้ และปัจจุบัน (เงินที่หลักจากแอปเปิลหักไปแล้ว 30%) ได้ส่งมอบให้นักพัฒนาแอปฯแล้ว 150,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีกับข่าวลือที่ว่าไอโฟน 5 ที่กำลังจะออกปลายปีนั้น จะมีหน้าจอที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการออกแบบแอปฯ ของนักพัฒนาอย่างแน่นอน! (เพราะต้องทำภาพกราฟฟิกที่พอดีกับ 2 ขนาดจอ)
วิดีโอ(สิ่งที่ลือกันว่าเป็น) กรอบไอโฟน 5

เจาะลึกกลยุทธ์สาหร่าย เถ้าแก่น้อย

          วิธีการหนึ่งที่สามารถใช้สังเกตได้ง่ายๆ ว่าสินค้าอะไรยี่ห้อใดกำลัง “รุ่ง” คือการมองไปในตลาดว่า สินค้านั้นกำลังมีผู้เล่นรายใหม่ๆ  พยายามกระโดดเข้ามาแย่งมาร์เก็ตแชร์กันอย่างอุตลุด และมีการตั้งชื่อสินค้าเลียนแบบเจ้าตลาดหรือไม่ เหมือน สมัยหนึ่งที่ชาเขียว “โออิชิ” กำลังฮอต ก็มีแบรนด์อื่นๆ กระโดดเข้ามาเล่นตามนับสิบราย เป็นต้น แถมยังตั้งชื่อไปในโทนเดียวกันเป๊ะ
การมาของแบรนด์อย่าง “เถ้าแก่เนี้ย”, “ตี๋น้อย” และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย ในช่วงเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นดัชนีชี้วัดได้เป็นอย่างดีว่า อุณหภูมิการแข่งขันของตลาดสแน็กสาหร่ายในปี 2552 ที่มี “เถ้าแก่น้อย” เป็น “ตั้วเฮีย” ผู้นำในตลาดนั้น กำลัง “เร่าร้อน” และ “น่าเร้าใจ” เพียงใด
เพราะไม่ว่าใครที่เห็น Success Story ของเถ้าแก่น้อย ต่างก็น้ำลายสอจนต้องขอเดินตามเข้ามาเล่นกันเป็นแถว

thaukae1
อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” (ต๊อบ) ผู้ปลุกปั้นสาหร่าย “เถ้าแก่น่อย” จนมียอดขายเกือบพันล้าน

เปลี่ยน Passion เป็นโอกาส

แม้ในอดีต “อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์” หรือ “ต๊อบ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด จะเคยเป็นหนุ่มน้อยหน้าตี๋ที่เกเร ย้อมผมทอง และติดเกมงอมแงม แต่เขาก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาต้องทำให้ได้
จากเด็กน้อยที่อยากเป็นนักธุรกิจเหมือนคุณพ่อ เพราะรู้สึกว่า “เท่” เวลาที่พ่อเดินไปไหนมาไหนแล้วมีลูกน้องคอยยกมือไหว้สวัสดี แต่เมื่อเติบใหญ่ฝันนั้นก็ค่อยๆ เลือนลางไปพร้อมๆ กับความเกเรของตัวเอง
จนวันหนึ่งเมื่อพี่ชายมาชวนให้ต๊อบทดลองเล่นเกมออนไลน์ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป
ด้วยความชอบและความมุ่งมั่น ไม่นานต๊อบก็กลายเป็นที่หนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ที่มีผู้เล่น 4-5 แสนคน จนมีคนมาขอเสนอซื้อไอเท็มจากเขาพร้อมโอนเงินก้อนแรกมาให้ ประกายไฟที่เริ่มริบหรี่จึงถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
“พอมาเล่นเกมแล้วหาเงินได้ก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ยากอย่างที่คิด ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งก็หาเงินได้ นั่นคือจุดเริ่มต้น”

thaukae3 

สร้างธุรกิจจากคำถามง่ายๆ

เมื่อมีขึ้นก็ย่อมมีลง เกมออนไลน์ที่เคยเฟื่องฟูก็ไม่พ้นวัฏจักรของ Product Life Cycle ที่เมื่อถึงเวลาเสื่อมถอย รายได้ของต๊อบก็หดหาย ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ได้ส่งผลกระทบกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวเขาอย่างจัง
“มีอยู่วันหนึ่งผมไม่มีเงิน ก็เดินไปขอคุณแม่ คุณแม่เดินเข้าไปหยิบเงินในห้องนานมาก ประมาณ 10 กว่านาที ผมเลยเดินตามเข้าไป เห็นคุณแม่กำเงินไว้ทั้งน้ำตา จึงเกิดแรงบันดาลใจว่าต้องทำอะไรสักอย่าง”
สิ่งที่เคยวาดฝันไว้ในวัยเยาว์ว่าอยากเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยจึงเริ่มผุดเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง
วันหนึ่งเขาไปเดินงานแฟร์และพบกับแฟรนไชส์เครื่องคั่วเกาลัดจากประเทศ ญี่ปุ่น ด้วยความที่ชอบกินเกาลัดเป็นทุนเดิม จึงเกิดคำถามง่ายๆ ขึ้นมาในใจว่า “ทำไมคนอยากกินเกาลัดต้องไปซื้อที่เยาวราช” และคำถามนั้นก็กลายเป็นที่มาของธุรกิจแฟรนไชส์เกาลัดแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ที่เติบโตมาจากเงินทุนของตัวเขาเองได้ในเวลาไม่นานนัก
แม้ต้องล้มลุกคลุกคลานในระยะแรก แต่เขาก็ปลุกปั้นเกาลัด “เถ้าแก่น้อย” จนสามารถขยายสาขาได้กว่า 30 สาขา ในระยะเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น
แล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อวันหนึ่งเขาไปเดินตรวจร้านของตัวเองตามห้างสรรพสินค้า ด้วยความหิวเขาจึงแวะเวียนไปที่ร้านไอศกรีมแดรี่ควีนเจ้าประจำ และสังเกตเห็นสิ่งง่ายๆ ที่ใครๆ ก็เห็นว่า นอกจากไอศกรีมแล้วภายในร้านยังมีไส้กรอกวางขายอยู่ด้วย
คำถามง่ายๆ ที่เกิดขึ้นว่า “ทำไมร้านเราไม่มีไส้กรอกขายบ้าง” จึงกลายเป็นไอเดียให้ต๊อบขยาย Product Line จากเกาลัด ไปสู่ลำไยอบแห้ง ลูกพลับแห้ง และขยายไปสู่ “สาหร่ายทอด” ซึ่งเป็นสินค้าที่ทำให้ฝันของเขากลายเป็นจริงในเวลาต่อมา


thaukae2

บุกตลาดด้วยกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง”

หลังจากค้นพบเทรนด์ในตลาดว่าขนมขบเคี้ยวสาหร่ายกำลังมาแรง เพราะบางสาขาสามารถขายสาหร่ายได้มากกว่าสินค้าหลักอย่างเกาลัด ต๊อบจึงเริ่มหันมาทำตลาดสาหร่ายอย่างจริงจัง โดยแปลงหลังบ้านให้เป็นโรงงานผลิตสาหร่ายทอด และทดลองเจาะตลาดยี่ปั๊วเป็นอันดับแรก
แม้ไม่ประสบความสำเร็จในเบื้องต้น แต่แทนที่จะย่อท้อเขากลับคิดการใหญ่ขึ้นด้วยการใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งเป็นกลยุทธ์การกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภค ที่เขาได้ยินแว่วๆ มาจากในทีวี
“ผมคิดว่าป่าน่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านสะดวกซื้อต้องมีสินค้าของเรา”
Seven Eleven จึงกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของต๊อบ เพราะเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย ถึงแม้ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ แต่สุดท้ายเมื่อเขาสามารถเจาะเข้า Seven Eleven ได้สำเร็จ แบรนด์เถ้าแก่น้อยก็เริ่มแจ้งเกิด
หลังจากปลูกป่าบนร้านสะดวกซื้ออย่าง Seven Eleven ได้สมใจแล้ว เขาก็ดำเนินกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองต่อไป ด้วยการรุกเจาะเข้าไปในโมเดิร์นเทรดและซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ Jiffy, Family Mart, Watsons, The Malls, Tops, Big C, Tesco Lotus, Carrefour
ทั้งยังเจาะไปตลาดต่างประเทศด้วยกลยุทธ์เชิงรุก คือไม่รอไปออกงานแฟร์กับกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้ถูกเลือก” แต่บุกไปถึงตัว Distributor ในต่างแดนโดยตรง เพื่อให้ตัวเองเป็น “ผู้เลือก”
วิธีการของเขาแสนจะง่ายและธรรมดา เพียงเดินไปตามห้างในประเทศที่ต้องการเจาะตลาด แล้วพลิกดูซองขนมว่าใครเป็นผู้จัดจำหน่ายในประเทศเหล่านั้นบ้าง จากนั้นก็เตรียมตัวนำสินค้าของเถ้าแก่น้อยไปเสนอเพื่อเปิดการเจรจาพร้อมด้วย ข้อเสนอในการสนับสนุนการทำตลาด
ด้วยวิธีการนี้ทำให้สินค้าของเถ้าแก่น้อยมีวางจำหน่ายแล้วใน 16 ประเทศ ด้วยสัดส่วนการส่งออกที่สูงถึง 60% เมื่อต้นปี 2550 แม้จะปรับลดลงเหลือ 40% ในปัจจุบันแต่มูลค่าตลาดต่างประเทศกลับมิได้ลดลง หากเป็นเพราะเขาเลือกที่จะกลับมารักษาฐานที่มั่นของตลาดในประเทศพร้อมรุก ตลาดตีกันคู่แข่งอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมา

สาหร่าย = เถ้าแก่น้อย

“ผมไม่ใช่แบรนด์แรกที่เข้ามาในตลาด แต่ผมเป็นแบรนด์แรกที่เข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคได้”
คือคำกล่าวของต๊อบที่สะท้อนการทำตลาดของเถ้าแก่น้อยอย่างจริงจังในปี 2551 เนื่องจากตลาดต่างประเทศเริ่มมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยยอดส่งออกกว่าเดือนละ 30 ล้านบาทเมื่อกลางปี 2550 ประกอบกับขณะนั้นค่าเงินบาทเริ่มแข็งตัว ทำให้ทิศทางการส่งออกเริ่มทำตลาดได้ยากขึ้น อีกทั้งตลาดในประเทศยังมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ทยอยเปิดตัวเข้ามาแข่งขันทำตลาดอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 แบรนด์
“ตลาดสาหร่ายปี 2551 เติบโตสูงมากและผู้เล่นรายอื่นๆ พยายามสร้างแบรนด์ขึ้นมา เราจึงต้องพยายามสร้างแบรนด์เพื่อรักษาความเป็นที่หนึ่ง”
กลยุทธ์การทำตลาดของเถ้าแก่น้อยในปีที่ผ่านมาจึงมีท่วงทำนองที่ “ดุดัน” ด้วยการเพิ่มงบการตลาดขึ้นอีกเท่าตัว จาก 25 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท เพื่อทำโฆษณาทีวีสื่อสารกับผู้บริโภคในวงกว้าง จากเดิมที่มุ่งเจาะแต่ช่องทาง Below the line ด้วยการโรดโชว์และทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย
โฆษณาชิ้นแรกของ “เถ้าแก่น้อย” ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2551 ด้วย Brand Concept ว่า “ถ้าเป็นสาหร่ายต้องเถ้าแก่น้อย” เพื่อตอกย้ำให้แบรนด์เถ้าแก่น้อยให้ติดปากผู้คนจนกลายเป็น Generic Name เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เรียกแทนด้วย “มาม่า” และผงซักฟอกที่คนนิยมเรียกกันว่า “แฟ้บ”
“ผมสร้างแบรนด์โดยใช้โฆษณาโทรทัศน์ที่ชูคอนเซ็ปต์ว่า “Seaweed is สาหร่ายเถ้าแก่น้อย” เพราะหลายคนไม่รู้ว่า Seaweed แปลว่า สาหร่าย การนำครูคริส (คริสโตเฟอร์ ไรท์) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของครูสอนภาษาอังกฤษมาสอนคำนี้ แล้วพ่วงด้วยคำว่าเถ้าแก่น้อยลงไปด้วย ช่วยตอกย้ำว่าเถ้าแก่น้อยคือขนมสาหร่าย และขนมสาหร่ายคือเถ้าแก่น้อย”

ออก Sub-brand กินรวบตลาดสาหร่าย

หลังจากปล่อยโฆษณาออกมาตอนต้นปี เถ้าแก่น้อยก็รุกต่อไปด้วยกลยุทธ์การออก Sub-brand เพื่อเจาะตลาดคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ
ซับแบรนด์ Curve ที่เปิดตัวออกมาเมื่อกลางปี 2551 จึงถูกวาง Positioning เพื่อเจาะเซ็กเมนต์วัยรุ่นผู้หญิงอายุ 18-28 ปี ที่ห่วงสุขภาพและกลัวอ้วน เพื่อให้แยกตลาดชัดเจนจากแบรนด์เถ้าแก่น้อยที่วาง Positioning ไว้ที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่นทั่วไป
“เดี๋ยวนี้สินค้าเป็น Niche Market มากขึ้น จึงต้องมีการซอยย่อย Segment เพื่อเจาะให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สมัยนี้ไม่มีสินค้าที่ออกมาแล้วขายได้ครอบจักรวาลอีกต่อไปแล้ว Product จึงต้องเป็น Smart Product เพื่อแสดงความเป็นตัวตนของผู้บริโภคให้ได้ เหมือนมอเตอร์ไซค์ฟีโน่ที่ได้รับความนิยมเพราะบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้ บริโภคได้”
ปี 2552 เถ้าแก่น้อยยังเตรียมออกซับแบรนด์ “ยากิโนริ” เพื่อเจาะตลาดสาหร่ายที่นำมาใช้ประกอบอาหาร จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคที่พบว่า เทรนด์เกาหลีและญี่ปุ่นกำลังมาแรง ทำให้ร้านอาหารสไตล์เกาหลีและญี่ปุ่นเติบโตขึ้นนับสิบเท่าในเวลาไม่กี่ปีที่ ผ่านมา
“ตอนนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อก่อนคนนิยมอาหารฝรั่ง แต่เดี๋ยวนี้ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีมาแรง มีทั้งฟูจิ MK บาร์บีคิวพลาซ่า ยาโยอิ ฮาจิบัง ฯลฯ จากเมื่อก่อนมีประมาณ 2-3 ร้อยร้าน เดี๋ยวนี้มี 2-3 พันร้าน ปีนี้เราจึงเตรียมออกแบรนด์ “ยากิโนริ” เพื่อเจาะกลุ่มร้านอาหาร ด้วยการทำตัวเป็น Supplier สาหร่ายที่เราเป็นผู้นำเข้ามากที่สุดในขณะนี้”

thaukae4 

แผนรุกตลาดปีวัว

นอกจากการออกซับแบรนด์เพื่อขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่เถ้าแก่น้อยเตรียมไว้เล่นในปีนี้ ต๊อบยังเตรียมแผนเจาะตลาดปีวัวโดยตั้งเป้ายอดขายสวนกระแสเศรษฐกิจซบเซา ด้วยการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่าน Traditional Trade ที่เถ้าแก่น้อยยังกระจายสินค้าได้ไม่ครอบคลุม (เข้าถึงประมาณ 35%) ขณะที่ช่องทางโมเดิร์นเทรดอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ยังมี ช่องว่างให้ชอนไชได้อยู่อีกประมาณ 14%
เพราะแม้ว่าจะดึงผู้จัดจำหน่ายที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอย่าง “ดีล์ทแฮม” มาช่วยกระจายสินค้าในปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีช่องว่างในตลาดให้เล่นเพราะสินค้าบางชนิดที่เพิ่งเข้าตลาดใหม่ๆ อาจยังไม่เป็นที่แน่ใจของ Traditional Trade ทำให้ไม่กล้าสต็อกสินค้า ซึ่งเป็นโจทย์ของเถ้าแก่น้อย ต้องอุดช่องว่างด้วยการรุกประชาสัมพันธ์ให้หนักขึ้นในปี 2552
และยังมีแผนเปิดตัวหนังโฆษณาตัวใหม่เพื่อตอกย้ำแบรนด์ในใจผู้บริโภคไปอีก หนึ่งสเต็ป ด้วย Brand Positioning คือ เถ้าแก่น้อยเป็นแบรนด์ที่จะเข้าไปอยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคอย่างถาวร และ Product Positioning ที่วางไว้ว่าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยต้องเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีคุณภาพ และมีราคาย่อมเยา
พร้อมด้วยการแตกโปรดักส์ไลน์ใหม่ๆ ภายใต้แบรนด์เถ้าแก่น้อย และซับแบรนด์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะเขาอ่านทิศทางตลาดว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายจะเติบโตแบบดับเบิลไปได้อีกอย่างน้อย 3 ปี ก่อนที่การเติบโตจะเริ่มชะลอตัวและเข้าสู่จุดอิ่มตัวในที่สุด
“การที่ผลิตภัณฑ์จะไปอิ่มตัวที่ตรงจุดไหน ขึ้นอยู่กับ Product Innovation ว่าจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหนด้วย”
และนี่เองที่ทำให้เถ้าแก่น้อยวางเป้ายอดขายในประเทศปี 2552 ไว้ถึง 1,500 ล้านบาท หากรวมกับยอดส่งออกที่วางไว้อีกประมาณ 20% ก็คงเฉียดๆ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ใช่ตัวเลขที่เลื่อนลอย เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา ต๊อบได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่อายุยังไม่ครบเบญจเพสอย่างเขา “ทำได้จริงๆ”

ที่มาของแบรนด์

ชื่อแบรนด์เถ้าแก่น้อยมาจากพ่อของอิทธิพัทธ์พูดแซวกับเพื่อนในโทรศัพท์ เมื่อเห็นลูกชายกำลังเตรียมตัวออกไปเซ็นสัญญาตั้งบูธแฟรนไชส์เกาลัดในห้าง แห่งหนึ่ง เมื่ออิทธิพัทธ์คิดไม่ออกว่าจะใช้ชื่ออะไรตอนที่กรอกแบบฟอร์มจึงกรอกไปว่า “ร้านเถ้าแก่น้อย”
ครั้งหนึ่งอิทธิพัทธ์เคยคิดจะเปลี่ยนแบรนด์ขนมสาหร่ายเป็น “เจโชว” เพราะไม่มั่นใจในชื่อแบรนด์ของตัวเอง แต่คนที่ช่วยออกแบบบรรจุภัณฑ์ทักท้วงไว้ ชื่อเถ้าแก่น้อยจึงฮิตติดตลาดสแน็กสาหร่ายมาจนทุกวันนี้

ส่วนแบ่งตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายประเภทต่างๆ (ต.ค. 2551)

ส่วนแบ่งตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายทอด

  • เถ้าแก่น้อย 84.1%
  • ทาเบรุ 3.6%
  • คุณฟิล์ม 2.1%
  • M ทาโร่ 2.0%
  • MMM 1.5%

ส่วนแบ่งตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายอบ

  • ซีลิโกะ 49.7%
  • เถ้าแก่น้อย 22.9%
  • Curve 7.7%
  • โนริตะ 3.5%
  • ยูกิจัง 3.1%
  • Slimi 2.6%
  • โกลิโกะ 1.3%

ส่วนแบ่งตลาดขนมขบเคี้ยวสาหร่ายเทมปุระ

  • เถ้าแก่น้อย 52.2%
  • ซีลิโกะ 46.3%
    ที่มา AC Nielsen

ส่วนแบ่งตลาดขนมขบเคี้ยวรวมทุกประเภทมูลค่าตลาดประมาณ 15,000-18,000 ล้านบาท

  • มันฝรั่ง 33%
  • สแน็กขึ้นรูป (ทำจากแป้ง) 33%
  • อื่นๆ เช่น ข้าวเกรียบ สาหร่าย ปลาหมึก ถั่ว ฯลฯ 34%

Target Group ของ Brand เถ้าแก่น้อย

  • สาหร่ายทอด เจาะกลุ่ม วัยรุ่นมหาวิทยาลัย ถึงกลุ่ม First Jobber อายุ 15-25 ปี
  • สาหร่ายอบ เจาะกลุ่ม  นักเรียนวัย 4-17 ปี
  • เทมปุระ เจาะกลุ่ม วัยรุ่นฮาร์ดคอร์ 4 -25 ปี
  • Curve สาหร่ายอบ เจาะกลุ่ม วัยรุ่นผู้หญิง 18-28 ปี

ยอดขายผลิตภัณฑ์สาหร่ายรวมทุกประเภทของเถ้าแก่น้อย

  • ปี 2548 75 ล้านบาท
  • ปี 2549 243 ล้านบาท
  • ปี 2550 497 ล้านบาท
  • ปี 2551 800 ล้านบาท

อัตราส่วนการเข้าถึงช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ ของผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อย

  • Convenience Store 100%
  • Supermarket + Hypermarket 86%
  • Traditional Trade 35%

หวยเด็ด หวยดัง ในประเทศไทย

หวยในประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Thai lottery.jpg
หวย เป็นการพนันเสี่ยงทายประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นราวปี พ.ศ. 2375 รัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงขาดแคลน ข้าวยากหมากแพง คนไม่ยอมนำเงินมาใช้ เอาเงินไปฝังไว้ในดิน ต่อมาได้แก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการตั้งหวย จึงโปรดเกล้าฯ ให้จีนหงตั้งโรงหวยขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งที่เมืองจีนจะเรียกว่า “ฮวยหวย” พอมาถึงบ้านเราก็พากันเรียกว่า “หวย” ติดปากมาจนทุกวันนี้
โดยในระยะแรกจะเล่นอยู่ในกลุ่มชาวจีน และเป็นการเล่นโดยทายอักษรภาษาจีน วิธีเล่นหวยในจีนนั้นเขาจะทำเป็นแผ่นป้ายเล็กๆ จำนวน 34 ป้าย แล้วเขียนชื่อของผู้มีชื่อเสียงในสมัยโบราณเอาไว้บนป้าย ให้แทงว่าจะออกเป็นชื่อใคร ถ้าทายถูกเจ้ามือจ่าย 30 ต่อหนึ่ง ต่อมาเมื่อการพนันแพร่ระบาดสู่สังคมคนไทย จึงได้มีการออกหวยที่เป็นอักษรไทย (ซึ่งใช้ตัวอักษร 36 ตัวเท่านั้น) จึงมีชื่อเรียกว่า "หวย ก ข" โดยโรงหวยเป็นของรัฐที่มีเอกชน เป็นผู้ได้รับสัมปทานดำเนินการ ทั้งนี้นายอากรหวย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนบาล" หรือ "ขุนบาน" โดยรายได้จากอากรหวยมีเป็นจำนวนมาก และได้กลายเป็นรายได้ที่สำคัญของรัฐ

เนื้อหา

ประวัติ

ความต้องการเล่นหวยมีมากกว่าที่รัฐจะจัดให้เล่นได้ จึงได้เกิดขุนบานเถื่อนขึ้นทั่วประเทศ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริ ที่จะยกเลิกการเล่นพนัน แต่เนื่องจากอากรหวยเป็นรายได้ที่สำคัญ จึงได้ทรงยกเลิกอากรบ่อนเบี้ยก่อน และค่อยมีการยกเลิกอากรหวยในสมัยรัชกาลที่ 6
ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ได้มีการออกล็อตเตอรีขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อหารายได้บำรุงการกุศล และได้มีการออกล็อตเตอรีในวาระพิเศษอีกหลายครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำรุงสาธารณกุศล จนกระทั่งรัฐบาลภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 ได้ให้มีการออกล็อตเตอรี่เป็นประจำ และในปี พ.ศ. 2482 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้มีการออกล็อตเตอรี่เป็นประจำ การเล่นหวยจึงได้เปลี่ยนมาใช้เลขท้าย ของล็อตเตอรี่ เป็นการออกหวยแทนหวย ก ข แบบเดิม

สลากกินแบ่งรัฐบาล

สลากกินแบ่งรัฐบาล คือล็อตเตอรีชนิดหนึ่งในประเทศไทย ผู้ที่ต้องการจะขายต้องขออนุญาตจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลก่อน ในปัจจุบันออกทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน ยกเว้น
ปัจจุบันสลากกินแบ่งรัฐบาลได้พิมพ์ออกจำหน่ายจำนวนงวดละ 46 ชุด ตัวเลขเหมือนกันทุกชุด ชุดละ 1,000,000 ฉบับ รวม 46,000,000 ฉบับ มักจะขายเป็นคู่ นั่นคือหนึ่งใบจะมีหมายเลขเดียวกันสองชุด ทำให้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็นสองเท่าจากที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามหากสลากมีเพียงหมายเลขชุดเดียว อันเนื่องจากการแบ่งขายหรือการพิมพ์ที่ผิดพลาด หากถูกรางวัลก็จะได้รับเงินรางวัลไปชุดเดียว หรือถ้าถูกรางวัลมากกว่าหนึ่งประเภทในสลากใบเดียวกัน ก็รับเงินรางวัลไปตามจำนวนที่ถูก รางวัลต่างๆ แบ่งออกเป็น

รางวัล มูลค่า (บาท) เลขที่ออก
(หมายเลข)
โอกาสถูก (รางวัล)
ต่อ 1 ชุด ต่อ 46 ชุด
รางวัลที่ 1 2,000,000 1 1 46
รางวัลที่ 1 พิเศษ กลุ่มที่ 1 (ชุดที่ 01-30) 30,000,000 1 130 1
รางวัลที่ 1 พิเศษ กลุ่มที่ 2 (ชุดที่ 51-66) 16,000,000 1 116
รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 50,000 2 2 92
รางวัลที่ 2 100,000 5 5 230
รางวัลที่ 3 40,000 10 10 460
รางวัลที่ 4 20,000 50 50 2,300
รางวัลที่ 5 10,000 100 100 4,600
รางวัลเลขท้าย 3 ตัว 2,000 4 4,000 184,000
รางวัลเลขท้าย 2 ตัว 1,000 1 10,000 460,000

สลากเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว

ตัวอย่าง "หวยบนดิน"
สลากเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า หวยบนดิน เป็นนโยบายหนึ่งของรัฐบาล พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ริเริ่ม มีจุดประสงค์เพื่อนำ หวยใต้ดิน ซึ่งผิดกฎหมาย มาผ่านกระบวนการทางกฎหมายและปรับปรุงให้เป็นของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการกวาดล้างเจ้ามือหวยใต้ดิน และนำรายได้ไปสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ โครงการสำคัญที่นำรายได้จากหวยบนดินไปใช้ คือ โครงการหนึ่งทุนหนึ่งอำเภอ (ODOS)
ประเภทของสลาก แบ่งเป็น

สลากออนไลน์

หวยใต้ดิน

 
 
.. ประวัติการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลและกองสลาก ..


  การออกสลากกินแบ่งฯ ในประเทศไทยตามประวัติความเป็นมาได้เริ่มมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยมีฝรั่งชาวอังกฤษชื่อ ครูอาลบาสเตอร์เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า "ลอตเตอรี่" โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกใน ประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2417 เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือพ่อค้าต่างชาติ ที่นำสินค้ามาร่วมแสดงในการจัดพิพิธภัณฑ์ที่ตึกคองคาเดีย ในพระบรมมหาราชวัง

ครูอาลบาสเตอร์
  ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2460 ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 สหราชอาณาจักรอังกฤษซึ่งเป็นประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรประสงค์จะกู้เงินจาก ประเทศไทยเพื่อใช้ในการสงคราม แต่ไม่อาจกู้โดยตรงจากรัฐบาลไทยได้ เพราะจะเป็นการกระทบกระเทือนงบประมาณ สภารักชาติแห่งประเทศอังกฤษ จึงดำเนินนโยบายกู้เงินจากประชาชนด้วยการออกลอตเตอรี่โดยได้รับพระราชทานพระ บรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
  ต่อมาในปี พ.ศ.2466 ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ออก "ลอตเตอรี่เสือป่าล้านบาท" เพื่อหารายได้บำรุงกองเสือป่าอาสาสมัครโดยพิมพ์ จำนวน 1 ล้านฉบับ จำหน่ายฉบับละ 1 บาท
  ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า อยู่หัว ปีพ.ศ. 2476 รัฐบาลมีนโยบายที่จะลดเงินรัชชูปการ (เงินที่เรียกเก็บจากชายไทยที่มิต้องรับราชการทหาร) ทำให้รัฐขาดรายได้ จึงได้ดำริให้มีการออกลอตเตอรี่รัฐบาลขึ้นโดยเรียกว่า "ลอตเตอรี่รัฐบาลสยาม" โดยพิมพ์ออกจำหน่ายจำนวน 1 ล้านฉบับ ๆ ละ 1 บาท ปีละ 4 งวด
  ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยออกสลากกินแบ่งบำรุงเทศบาลโดยกำหนด ว่า หากเดือนใดเป็นเดือนที่ออกสลากกินแบ่งรัฐบาล เดือนนั้นให้งดจำหน่ายสลากกินแบ่งของเทศบาล โดยเริ่มจำหน่ายงวดแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2478 แล้วออกสลากเดือนเมษายน พ.ศ. 2479 โดยพิมพ์จำนวน 500,000 ฉบับ ๆ ละ 1 บาท และได้มีการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากบำรุงเทศบาลเรื่อยมา
  ในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งถือเป็นยุคที่สลากกินแบ่งรัฐบาลเริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้โอนกิจการสลากกินแบ่งรัฐบาล และสลากบำรุงเทศบาล มาสังกัดกระทรวงการคลัง และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระยาพรหมทัตศรีพิลาส เป็นประธานกรรมการ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2482 ในวันดังกล่าวจึงถือเป็นวันสถาปนาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจนปัจจุบัน

ลุกขนุน รูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชาย

คอหวยตีเลขเด็ดลูกจำปาดะรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชาย 0 -1

พัทลุง - พบต้นจำปาดะบ้านผู้ใหญ่บ้าน อ.ตะโหมด อายุกว่าสิบปีออกลูกคล้ายอวัยวะเพศชาย แต่ถูกปลิดมาเก็บรักษาไว้ในตู้เย็น เพื่อนบ้านบ่นเสียหายถ้าอยู่บนต้นจะเอาผ้าไปห่ม ก่อนตีเลขด้วยความชำนาญ 0-1


      
       นาย จรงค์ เกื้อคลัง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านหนองปด ต.แม่ขรี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ได้ปลูกจำปาดะไว้ 1 ต้น บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งมีอายุกว่า 10 ปี และให้ผลผลิตลูกดกประจำทุกฤดูกาล แต่มาฤดูกาลนี้มาแปลก ลูกจำปาดะลูกหนึ่งออกผลมาเป็นรูปคล้ายอวัยวะเพศชาย ซึ่งเมื่อผู้หญิงเห็นเข้า ก็ได้ทำการปลิดออกจากลำต้นเสียแล้ว ก่อนที่ นายจรัญ เกื้อคลัง น้องชายมาพบเห็น และได้เก็บเอาไว้



      
       นายจรัญ เกื้อคลัง บ้านเลขที่ 37 หมู่ 9 บ้านหนองปด ต.แม่ขรี อ.ตะโหมด กล่าวว่า ตนได้เก็บลูกจำปาดะ ที่มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชายไว้ในตู้เย็น พอเพื่อนบ้านทราบข่าวก็พากันมาดู เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน หลายคนบอกว่า เป็นที่น่าเสียดาย หากลูกจำปาดะลูกนี้ยังไม่ปลิดออกจากลำต้น จะเอาผ้าไปห่มแล้วจะไปขอเลขเด็ดสลากกินแบ่งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ตนจะเก็บลูกจำปาดะลูกนี้แช่ตู้เย็นเอาไว้ เพราะเป็นเรื่องแปลก


      
       สำหรับผู้ที่ไปดูลูกจำปาดะรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชาย ที่บ้านนายจรัญ ต่างได้แก้เลขเด็ดออกมาว่า
จะเป็นเลข 1 กับ เลข 0



ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการออนไลน์
เมืองคอนฮือฮาพบนกแอ่นเผือกฉลอง 2600 ปีแห่งตรัสรู้



เมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ได้เล่าลือวิพากษ์วิจารณ์ถึงธุรกิจคอนโดนกแอ่นกันอย่างกว้างขวาง ที่สร้างภูมิทัศน์ในตึกให้นกแอ่นอยู่และนำรังไปขายนับเป็นธุรกิจที่ทำเงิน ให้ผู้ประกอบการมหาศาล  ล่าสุดได้ค้นพบนกแอ่นสีขาวเผือกทั้งตัว ในคอนโดนกแอ่น ของ บริษัท ดอกบัวคู่ จำกัด ในเขตเทศบาลเมืองปากพนัง ต.ปากพนังฝั่งตะวันออก  อ.ปากพนัง ทั้ง ๆ ที่ตามธรรมชาติแล้ว นกแอ่นจะมีสีเทาดำ


ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่คอนโดนกแอ่นเลขที่ 251/2 ถนนพัฒนาการ-องค์การโทรศัพท์ ต.บางพระ อ.ปากพนัง  พบนายปิติ ลีเลิศพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทดอกบัวคู่ จำกัด เจ้าของธุรกิจคอนโกนกแอ่น  นำตรวจสอบบนคอนโดนกแอ่นซึ่งก่อสร้างตึก 7 ชั้น  3 หลัง แต่ละชั้นของทุกหลังมีนกแอ่นเข้าไปอยู่จำนวนมาก เมื่อตรวจสอบชั้นที่ 7 พบนกแอ่นเผือกสีขาวนวล 2 ตัว เกาะอยู่ในรังผนังตึก โดยตัวหนึ่งบินออกไปหากิน แต่อีกตัวเกาะอยู่ในรังอย่างสงบนิ่ง โดยไม่แตกตื่นตกใจกลัวนายปิติ จึงปีนขึ้นไปจับนกแอ่นเผือกพบว่าว่าเป็นลูกนกอายุราว  6 เดือน เพิ่งหัดทำรังเป็นครั้งแรก


นายปิติ  กล่าวว่า  เป็นเรื่องประหลาดมากที่พบนกแอ่นเผือก เชื่อว่าหากมีการสืบพันธุ์มั่นใจว่าจะเกิดลูกนกแอ่นเผือกเพิ่มขึ้นอย่างแน่ นอน โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิ่งที่หายากมาก และเป็นสิ่งมงคลในช่วงปีสัมพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า น่าจะเป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเมืองที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนามา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน.



ขอขอบคุณเดลินิวส์
ชาวบ้านตื่นขอหวยรอยเท้าประหลาดเชื่อเป็นพระพุทธบาท


             เมื่อวันที่ 21 พ.ค.  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางไปที่บ้านของ นายวิโรจน์ สุขชู อายุ 45 ปี เลขที่ 4/6 หมู่ 4 บ้านวังม่วง ต.หนองบัวเหนือ อ.เมือง จ.ตาก หลังทราบว่าพบรอยเท้าประหลาดที่บ้านดังกล่าว ซึ่งชาวบ้านร่ำลือว่าเป็นรอยเท้าของพระพุทธเจ้า เมื่อไปถึงพบว่าบริเวณที่พบรอยเท้าประหลาด ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นรอยพระพุทธบาท หรือรอยเท้าของพระพุทธเจ้านั้น อยู่ริมทุ่งนา ห่างจากบ้านนายวิโรจน์ประมาณ 30 เมตร ล้อมรอบด้วยสระดอกบัว ที่คันนาซึ่งเป็นดินเหนียว พบรอยเท้าข้างซ้ายรอยเดียว ขนาดใหญ่ ยาว 35 เซนติเมตร กว้าง 18 เซนติเมตร ลึกลงไปในดิน 5 เซนติเมตร โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าว พากันนำดอกไม้ธูปเทียวแห่มากราบไหว้นับร้อยคน นอกจากนี้ ยังนำเงินเหรียญบาทมาใส่ไว้ที่รอยเท้าเป็นจำนวนมากอีกด้วย บางคนก็มาขอโชคลาภ บ้างก็มาขอให้หายจากอาการเจ็บป่วย บ้างก็มากราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคล ตลอดทั้งวันมีชาวบ้านมาจากจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมากราบไหว้กันอย่างไม่ขาด สาย



นายวิโรจน์ กล่าวว่า ก่อนจะพบรอยเท้านี้ ภรรยาของตนฝันเห็นงูตัวใหญ่เลื้อยออกมาจากป่า บอกว่าจะขอมาอาศัยอยู่ด้วย โดยจะอาศัยอยู่ในสระดอกบัว จากนั้นงูในฝันก็ดำหายลงไปในสระดอกบัว พร้อมกับมีแสงสว่างหลายสีพวยพุ่งขึ้นมาจากสระน้ำสว่างจ้า จากนั้น เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา "เจ้าลาย" สุนัขที่ตนเลี้ยงไว้ พร้อมกับลูกสมุน ก็พากันเห่าหอนตรงบริเวณรอยเท้า จนกระทั่งรุ่งเช้าตนก็เดินไปเปิดน้ำเข้านา เห็นเจ้าลายยืนขวางทางอยู่ริมคันนา พร้อมทั้งเห่าหอนรอยเท้าตลอดเวลา ตนจึงเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ดังกล่าว ถึงกับตกใจขนลุก ตื่นเต้นดีใจ รีบกลับบ้านไปเรียกภรรยามาดู เชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ตามที่ฝันเห็น จึงไปบอกผู้เฒ่าผู้แก่ ว่าเป็นรอยพระพุทธบาท หรือรอยเท้าพระพุทธเจ้า


นอกจากนี้ เจ้าของบ้าน กล่าวด้วยว่า พอข่าวแพร่สะพัดออกไป ก็มีชาวบ้านทั้งใกล้และไกลแห่มากราบไหว้ และไม่ลึมขอหวยด้วย โดยฝูงของเจ้าลาย มีอยู่ด้วยกัน 6 ตัว นอนเฝ้าอยู่ไม่ห่างรอยเท้าตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้รอยเท้า ซึ่งเวลากลางคืนพวกมันจะนอนขวาง พร้อมเห่าไล่ ไม่ให้คนเดินผ่านไปมากลางทุ่งนา ส่วนเงินที่ชาวบ้านบริจาคจะนำไปซื้ออุปกรณ์สร้างเพิงคลุมรอยเท้าไว้ เพื่อกันแดดกันฝนต่อไป




ขอขอบคุณ ไทยรัฐออนไลน์
โผล่อีกตุ๊กแกห้อยหัว ชาวบ้านเชียงดาวแห่ตีเลขเด็ด


         ขอโชว์ ตุ๊กแก ห้อยหัวอยู่หน้าร้านขายของชำเลขที่ 181 หมู่ 8 ต.เชียงดาว อ.เชียงใหม่ นานร่วม 2 ชั่วโมง สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านที่พากันไปดู เชื่อว่าต้องมาให้โชคลาภ...




             เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 พ.ค. ชาวบ้านอำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ต่างฮือฮาเมื่อทราบว่ามีตุ๊กแกตัวโตห้อยโหนตัวอยู่ที่หน้าร้านขายของชำ เลขที่ 181 หมู่ 8 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ด้วยอาการสงบนิ่งคล้ายกลับว่าได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยร้านขายของชำเป็นของนางต่อมคำ สายนันต๊ะ อายุ 60 ปี ชาวบ้านพากันมาดูเพราะเชื่อกันว่าตุ๊กแกห้อยหัวลงมักจะให้โชคลาภ ต่างส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก และสายตาทุกคู่ก็สอดส่ายหาเลขเด็ด จนพบว่าตุ๊กแกห้อยหัวอยู่ห่างจากเลขที่บ้าน 181 หมู่ 8 มากที่สุด จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นเลขเด็ดในขณะนี้
นางต่อมคำ สายนันต๊ะ เจ้าของบ้าน เล่าว่า จู่ๆ เห็นตุ๊กแกมาแสดงอาการแปลกๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเชื่อว่าน่าจะมาบอกโชคบอกลาภให้อย่างแน่นอน จึงได้ปล่อยไว้ และบอกให้เพื่อนบ้านมาดูเพื่อจะได้มีโชคมีลาภกันบ้าง ในครั้งแรกทุกคนเห็นก็คิดว่าตุ๊กแกเสียชีวิตแล้ว แต่มีการแสดงท่าทางต่างๆ ให้เห็นเช่น กอดอก และโยกตัวไปมา โดยห้อยอยู่ร่วม 2 ชั่วโมงก็กลับขึ้นไป และเข้าไปในพื้นด้านในของบ้าน


นายอดิศักดิ์ คุ้มเมือง หัวหน้ากู้ภัยเชียงดาว ที่มาร่วมดูเหตุการณ์ถือกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า เห็นแต่ภาพในหนังสือพิมพ์ที่ตุ๊กแกห้อยหัว เพิ่งมาเห็นเป็นครั้งแรก ในตอนแรกคิดว่าตายแล้ว เพียงแค่คิดในใจ ก็เหมือนตุ๊กแกตัวนี้จะรู้จึงแสดงท่ากอดอกให้ดู และส่ายไปมาให้รู้ว่ายังไม่ตาย แต่จะมาให้โชคหรือไม่ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน แต่ก็ถือว่าสร้างความฮือฮา และสร้างความหวังให้กับผู้นิยมเลขเด็ด


ขอขอบคุณไทยรัฐออนไลน์

หมูประหลาด มี 1 หัว 8 ขา กับ 4 หู เกิดมาแฝด แยกไม่ได้

แห่ขอหวยหมูประหลาด


        ชาวบ้านแตกตื่น! แห่เข้ากราบไหว้ ขอหวยหมูประหลาด มี 1 หัว 8 ขา กับ 4 หู เจ้าของหมูทึ่งไม่คาดจะเป็นเรื่องแตกตื่น

     วันที่ 10 มิ.ย.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านป่ากอง หมู่ที่ 7 ต.ป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย มีชาวบ้านฮือฮาหลั่งไหลกันไปดูหมูประหลาด มี 1 หัว และ 8 ขา กับ 4 หู มีการตีเลขเด็ดกัน จากการสอบถาม นางอนงค์ วงษารัตน์ อายุ 46 ปี (เจ้าของหมู) เปิดเผยว่า เมื่อคืนเวลา 22.00 น.ตนรู้ว่าถึงกำหนดแม่พันธุ์หมูคลอด จึงไปดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อถึงเวลาดังกล่าว แม่หมูในฟาร์มก็คลอดลูกหมูออกมาจำนวน 13 ตัว จึงเข้าไปอนุบาล พบว่าลูกหมูดังกล่าวมีลักษณะผิดปกติดังกล่าว และไม่นานลูกหมูก็เสียชีวิต จึงได้เล่าให้ญาติที่ใกล้ชิดฟัง และให้มาดูของแปลกเท่านั้น


นางอนงค์ กล่าวต่อว่า ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวใหญ่โตข่าวลุกลามเป็นไฟลามทุ่ง มีผู้คนแตกตื่นมามุงดูกันทั้งหมู่บ้าน ต่อมาญาติๆ บอกว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเนื่องจากตนมีอาชีพเลี้ยงหมูด้วย จึงคิดว่าน่าจะเก็บลูกหมูไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคล จึงตัดสินใจดองลูกหมูตัวนี้ไว้ จนกระทั่งชาวบ้านที่รู้ข่าวและทราบเรื่องได้แห่กันมากราบไหว้ และคอหวยได้มาตีเป็นเลขต่างๆ กันอย่างเอิกเกริกกันทั้งหมู่บ้าน
 
ขอขอบคุณ สยามรัฐ

ตีเลขเด็ดหมูประหลาด 8 ขา 1หัว 4 หู 2 หาง


              ฮีอฮา!พบ หมูประหลาด เกิดออกมา มี 8 ขา 1 หัว 4 หู 2 หาง เสียชีวิตหลังคลอด ขณะนี้ดองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามคาดตีเลขหวยอุตลุดเช่นเคย



     วันที่ 22 พ.ค.2555 นางบาล คงคาใส อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 78 หมู่ 3 บ้านไร่ ต.สบป่อง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า ได้รับมอบลูกหมูประหลาดที่มีขา 8 ขา มาจากนางแขก ไม่มีชื่อสกุล แรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่เลี้ยงหมู และคลอดลูกหมูออกมาเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยขณะนี้ตนได้ดองศพลูกหมูประหลาดเอาไว้แล้วเพื่อบูชา โดยเชื่อว่าจะทำให้ตนและครอบครัว มีโชคลาภ

     ลูกหมูประหลาดดังกล่าว ได้คลอดมาพร้อมกับลูกหมูในครอกเดียวกันจำนวน 5 ตัว เมื่อเวลาประมาณ 01.20 น.ของคืนวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ขณะนั้นเจ้าของ คือ นางแขกไม่ได้สนใจลงไปดูแล และได้ลงไปดูในตอนเช้า ก็พบว่ามีลูกหมู 1 ตัวได้เสียชีวิตแล้ว เมื่อจะนำไปฝังก็พบว่าลูกหมูดังกล่าวมีร่าง 2 ร่างติดกัน มีขายื่นออกมาจำนวน 8 ขา แต่มีหัวเดียวแต่มีใบหู 4 หู และบริเวณก้นมีก้น 2 ก้น และมีหางยื่นออกมา 2 หาง ซึ่งในความเชื่อของชาวพม่านั้นถือว่าไม่ดี นางแขกจึงได้ไปเล่าให้นางบาลฟัง และนางบาลได้ขอหมูประหลาดไป

     โดยนางบาล ระบุว่า ลูกหมูประหลาด ถือว่าเป็นสิ่งให้โชคแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ครอบครอง และต้องรู้จักวีธีบูชา ขณะนี้ตนได้ทำการดองลูกหมูด้วยฟอร์มาลีนในขวดโหลขนาดใหญ่ และจะมีการทำพิธีขอโชคลาภในวันใกล้ ๆ ลอตเตอรี่ออกในสิ้นเดือนนี้

     อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสข่าวหมู 8 ขาสะพัดออกไป  ได้มีมีชาวบ้านในอำเภอปางมะผ้าจำนวนมาก ได้พากันเดินทางไปดูลูกหมูประหลาดไม่ขาดสาย และเป็นไปตามคาดที่มีการตีเป็นเลขหวยไปต่าง ๆ นานา อนึ่งเรื่องประหลาดดังกล่าว ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน





ขอขอบคุณ สยามรัฐ